วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อาหารตุรกี

                                                                  อาหารตุรกี

Turkish "meze"



Hibes, a Turkish "meze"
ส่วนผสม

1 cup tahini / งา 1 ถ้วย
5 cloves garlic / กระเทียม 5 กรีบ
1/3 cup olive oil / น้ำมันมะกอก 1/3 ถ้วย
juice from 2 lemons / น้ำมะนาว 2 ลูก
salt / เกลือ
cumin / เมล็ดยี่หร่า
red pepper / พริกแดง หรือ พริกป่น

ขั้นตอนการทำ
- This is a local meze from the Mediterranean city of Antalya.

คือ meze นี่นะครับ เป็นอาหารที่มาจาก แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก้คือเมืองที่อยู่ที่ประเทศตุรกี
Mix crushed garlic in a bowl with half the olive oil and all of the other ingredients. Pour the rest of the olive oil over it when serving. If you wish, garnish with
pickles, olives, or parsley, and serve with toasted bread.
Afiyet olsun.

นำกระเทียมมาทุบขยี้ในชาม แล้วก้ใส่น้ำมันมะกอกลงไปประมาณครึ่งนึงของที่เตรียมไว้ ( ตรงนี้ต้องอยู่ที่เราครับ) แล้วก้ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไป แล้วก้ ผสมให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ น้ำมาประดับด้วยเครื่องตกแต่งอาหารและเครื่องเคียง เช่นพวกของดอง พลาสลี่ ขนมปัง

ส่วนคำนี้ Afiyet olsun จะแปลว่า May it be good for you ^^.

คือที่เห็นเนื้อๆในชามคิดว่าเป็นกระเทียมครับ คงถ้วยเล็กๆ เหมือนเป็นน้ำจิ้ม

คือจากที่ดูจากเครื่องปรุง รสมานคงแปลกๆนะผมว่า แต่ก้น่าลอง นะกินกับขนมปัง กับกาแฟตอนเช้าๆ

Turkish Pizza






Lahmajun - Turkish Pizza

ส่วนผสม

2 Glass of flour / แป้ง 2 แก้ว
2 Little spoon of salt / เกลือ 2 ช้อน
3 gr dry leaven / ผงฟูแห้ง 3 กรัม
1/2 middle spoon of sugar / น้ำตาล ครึ้งช้อน
1/4 glass of warm water / น้ำร้อน 1/4 ถ้วย
150 gr yoghurt / โยเกิด 150 กรัม
450 gr tomatoes / มะเขือเทศ 450 กรัม
1 medium size onion / หัวหอม 1 ลูก ขนาดกลาง
250 gr mince / หัวหอมสับ 250 กรัม
a pinch of parsley / พลาสลี่
5 clove of garlic / กระเทียม 5 กลีบ
5 green pepper (can be hot.) / พริกหยวก 5 ลูก
Blackpepper / พริกไทยดำ

ขั้นตอนการทำ


- First the parsleys, onion and green peppers should be mixed greatly.
Beat those garlics.

นำ พาสเร่ หัวหอม พริกหยวก มารวมกัน และ บดกระเทียมให้ระเอียด

- Mix the leaven and sugar including warm water.

ผสมผงฟูและนำตาลในน้ำอุ่น

- Cut the lemon into 8 peaces.

จากนั้นหั่น มะนาวแบ่งออกเป็น 8 ส่วน

- Cut into cubes the tomatoes you've been pared.

ปลอกเปลือกมะเขือเทศแล้ว หั่นให้เป็นสี่เหล่ยมลูกเต๋า

- Seperate 2 normal spoon of the flour. Then mix it with 2 little spoon salt.

นำแป้งที่เตรียมไว้ออกมา 2 ช้อนโต๊ะแล้วผสมกับ เกลือ 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน

- Make a kinda pool with your flour add our leaven-sugar mix in it. You'll have an easy dough.

ผสมแป้งและนวดมันเบาๆ และผสมกับน้ำตาลทีละเล็กน้อย ^^. คุณก็จะได้ส่วนผสมแบบง่ายๆสำหรับ แป้ง

- Play wit hit gently and leave it to get relax for 30Min. Dont forget to cover with a compressor.

พักแป้งที่เราผสมกันไว้นั้น ประมาณ 30 นาที แล้วอย่าลืมใช้ผ้าคลุมแป้งในขณะที่พักแป้งไว้



- Lets prepare the mince by now, mix all the tomatoes, onion, mince, parsley, green pepper, garlic, salt and blackpepper inside a container. Mix it around 5min.

ผสมเครื่องปรุงเข้าด้วยกัน มะเขือเทศ, หัวหอม, พลาสลี่, พริกหยวก, กระเทียม, เกลือ, พริกไทยดำ ในถ้วยผสม

ผสมคนให้เข้ากันให้ทั่วโดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที



- Use your dough right there, seperate it into peaces. Peaces can be like an egg in size.
Make a slim round with one of that peaces.

เอาแป้งที่เตรียมไว้มาแบ่งเป็นชิ้นๆ ชิ้นขนาดประมาณเท่ากับไข่ไก่ และ ทำแต่ละชิ้นให้เปนแผ่นบางๆ

- Cover your slim dough with mince but dont forget to leave 1cm's around the lines.
Place them inside the oven you've prepared in 220C before.

แต่งหน้าแป้งด้วย เครื่องปรุง ที่เราผสมไว้ และอย่าลืม ให้เหลือช่องว่าง 1 ซม รอบขอบ
ถาด จากนั้นเอาเข้าเตาอก ในอุณภูมิ 220c


Wait around 15mins. That's it!

รอประมาณ15นาที เราก็จะได้ Lahmajun - Turkish Pizza ที่มีหน้าตาน่ารับประทาน


Spicy Biscuits



Spicy Biscuits (Acili Biskuvi)

ส่วนผสมแป้ง

2 cups flour / แป้งทำอาหาร 2 แก้ว พวกแป้งทำขนม
10 tbsp (1 stick (125 gr) + 2 tbsp) unsalted butter, room temperature / เนยชนิดจืด 10ช้อนโต๊ะ , หรือแบบแท่ง คือ ใช้ 1 แท่ง แล้วก็เนยอีก 2 ช้อนโต๊ะ
3-4 tbsp kasar or mozzarella cheese, grated / ชีส ชนิด mozzarella cheese บดแล้ว 3-4 ช้อนโต๊ะ
2 egg whites / ไข่ขาว 2 ฟอง
1/2 tsp cayenne pepper / พริกป่นครึ่งช้อนชา
1 tsp salt / เกลือ 1 ช้อนชา

Garnish: เครื่องโรยหน้าขนม

2 egg yolks ไข่แดง 2 ฟอง
Kasar or Mozzarella cheese, grated / mozzarella cheese บดแล้ว
Nigella seeds (black sesame seeds) / งาดำ
Cayenne pepper / พริกป่น

Place the flour in a large bowl and make a hole at the middle. Add the rest of the ingredients, knead. Don't knead too much! When the dough comes

together, roll it 1.0 cm thick using a roller. Cut the dough with 3.5 cm wide cookie cutters (picture). Make about 35 biscuits.

นำแป้ง(ที่นวดผสมไว้แล้ว)ใส่ ชามใบใหญ่แล้วทำเป็นรูๆตรงกลาง แล้วก้ใส่เครื่องลงไป จากนั้นให้นวดแป้ง ระวังอย่านวดแรงเกินไปจนทำให้ใส้มันแตกออกมา, ต่อจากนั้นให้ใช้ลูกกลิ้งกลิ้งๆจนได้ความหนา ประมาณ 1 ซม. แล้วก้ ตัดดัวยที่ตัดคุ๊กกี้ ทำได้ประมาณ 35 ชิ้น
รูปร่างเวลาตัดจะเป็นแบบนี้

Put parchment paper on the oven tray. Place the biscuits on it. First eggwash the tops, then sprinkle some Nigella seeds, grated cheese or cayenne pepper
all over (picture).

เอากระดาษไขวางปูที่ถาด แล้วก็เอา บิสกิต ไปวางไว้ ขั้นแรก ทาด้วยไข่ ที่ตีๆแล้วเอา โดยใช้พู่กันทา ด้านบนของขนม
แล้วก็โรยด้วย งาดำ ชีสที่เตรียมไว้ และ พริกป่น

กระดาษไข รูปร่างแบบนี้

อันนี้ที่โรยหน้าแล้ว


Preheat the oven to 375 F (180 C). Place the oven tray on the middle rack. Bake for about between 20-25 minutes. You can serve Turkish Spicy Biscuits

เตรียมเตาด้วยอุณหภูมิ 180 องศา แล้วเอาเข้าไปอบ ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที

...Biscuits สุดแสนจะอร่อยก็พร้อมรับประทานแล้วครับ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ .

หรือตอนเช้าๆนำมาทานกับ นม หรือ ชา ก็ เข้าท่าครับ

จำนวนที่ทำ
35 biscuits. / 35 ชิ้น

อาหารเกาหลี

                                            อาหารเกาหลี

 

김치 (คิมชี) กิมจิ




ส่วนผสม
- ผักกาดขาว 1 หัว
- เกลือ 60 กรัม
- หัวไชเท้า 200 กรัม
- สาลี่ 1/4 ผล
- ต้นหอมเล็ก 1/4 กำ
- กุยช่าย 1/2 กำ
- กระเทียมสับ 1 ถ้วยเล็ก
- ขิงขูด เล็กน้อย
- หอมใหญ่ 1/4 หัว
- ปลาหมึก 50 กรัม
- ลูกพลับ 1/4 แพ็ค
- กุ้ง 100 กรัม
- ข้าวเหนียว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุป (จากสาหร่ายและปลาแห้ง) 70 มล.
- พริกป่น 250 มล.
- เกลือ เล็กน้อย
- ผงปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
- งาคั่ว เล็กน้อย

วิธีทำ
1.นำผักกาดขาวมาแบ่งครึ่ง
2.เด็ดออกทีละใบ แล้วหมักเกลือ
3.หั่นหัวไชเท้า สาลี่ ต้นหอมและผักกุยช่ายเป็นเส้นยาวประมาณ 4 ชม.
4.ผสมหอมใหญ่สับ กระเทียมสับละเอียด และขิงขูด เข้าด้วยกัน
5.หั่นปลาหมึก ลูกพลับและกุ้ง ให้เป็นชิ้นเล็กๆ
6.ตั้งไฟ เติมข้าวเหนียวและน้ำในหม้อ จากนั้นคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
7.เติมน้ำข้าวเหนียวและน้ำซุปลงไปในชาม ผสมให้เข้ากัน
8.เติมส่วนผสมในข้อ 3 4 5 ลงไป จากนั้นทิ้งไว้ 30 นาที แล้วปรุงรสด้วยส่วนผสมส่วนแรก
9.ล้างผักแล้วดองเกลือทิ้งไว้ 6-7 ช.ม.
10.นำเครื่องปรุงที่ทำไว้ในข้อ8 มาทาที่ผักแต่ละใบ จากนั้นเก็บเข้าตู้

만두 (มันดู) เกี๊ยวเกาหลี



ส่วนผสม
- กิมจิ 1 ถ้วยตวง
- หอมใหญ่ (ขนาดกลาง) 1 หัว
- เนื้อหมูสับ 130 กรัม
- เต้าหู้แข็ง 275 กรัม
- ถั่วงอก ½ ถ้วยตวง
- กระเทียมสับ 1 ถ้วยตวง
- น้ำมันงา 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- พริกไทยป่น 3 หยิบมือ
- ไข่ไก่ (ขนาดกลาง) 1 ฟอง
- แผ่นเกี๊ยว 25 แผ่น

วิธีทำ
1.นำกิมจิ หอมใหญ่ เต้าหู้แข็ง และเนื้อหมูมาสับให้ละเอียด
2.ต้มถั่วงอกแล้วสับให้ละเอียด
3.นำกิมจิ หอมใหญ่ เต้าหู้แข็ง และถั่วงอกมาซับน้ำให้แห้งด้วยผ้าขาวบาง
4.ผสมส่วนผสมที่ซับน้ำแห้งแล้วในชามใบใหญ่ แล้วปรุงรสด้วยกระเทียม เกลือป่น น้ำมันงา และพริกไทยป่น
5.ใส่ไข่ลงในส่วนผสมผสมให้เข้ากันดี
6.เวลาจะใช้แผ่นเกี๊ยวให้แยกออกมาทีละแผ่น
7.วางแผ่นเกี่ยวลงบนฝ่ามือ นำไส้วางลงบนแผ่นเกี๊ยว (โดยที่จำเป็นจะต้องใส่ปริมาณไส้ให้เหมาะสมสำหรับการห่อให้สวยงาม)
8.หุ้มไส้ให้มิด จากนั้นนำมันดุที่ได้วางเรียงในจาน (สามารถหุ้มไส้ให้ได้รูปแบบใดก็ได้ตามต้องการ)
9.ทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 6-8 จนกระทั่งใช้ส่วนผสมหมด
10.วางผ้าขาวบางรองบนลังถึง และวาง Man-Du ลงบนผ้า
11.นึ่งให้สุดประมาณ 5-10 นาที
12.จัดใส่จานเสิร์ฟพร้อมกับ น้ำจิ้ม (ที่ทำจาก; ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนชา, น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา, พริกป่น, น้ำส้มสายชูหมักและน้ำมันงาเล็กน้อย)
**สามารถ ต้ม ManDu ในน้ำเดือดได้ ต้มน้ำเปล่าในหม้อต้มขนาดใหญ่ ใส่ ManDu ลงไปต้ม ลดไฟลงเหลือไฟกลาง ต้มไว้ประมาณ 3-4 นาทีจนกระทั่งแป้งสุกใส กรองน้ำออกแล้วจัดเสิร์ฟ

삼계탕 (ซัมกเยทัง) ไก่ตุ๋นโสม



เครื่องปรุง
1. ไก่ตัวเล็ก 1 ตัว
2. โสม 3-4 หัว
3. ลูกเกาลัด 3-4 ลูก
4. พุทรา 6-7 ลูก
5. sweet rice 1/3 ถ้วย
6. กระเทียมปอกเปลือก 8 กลีบ
7. ขิงปอกเปลือก
8. เกลือ
9. พริกไทย

วิธีทำ
1. ล้างไก่ให้สะอาด
2. ล้างข้าว , โสม , เกาลัด และพุทรา
3. ยัดข้าวเข้าไปในตัวไก่
4. ตั้งน้ำ ใส่ไก่ , โสม , เกาลัด , พุทรา , กระเทียม และขิง โดยให้น้ำท่วมตัวไก่ เคี่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
5. ตักไขมันที่ลอยอยู่ข้างบนทิ้งเป็นบางช่วงด้วย
6. เสิร์ฟกับเกลือและพริกไทย


อาหารอิตาลี

                                                                     อาหารอิตาลี


ลาซานญ่ากระทะ : skillet lasagna



วิธีทำ
ไส้กรอกอิตาเลี่ยนชนิดเผ็ด 1 ปอนด์
พาสต้าRadiatore 8 ออนซ์(หรือชนิดที่ชอบ)
หอมหัวใหญ่สับเล็กๆ 1 หัว
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
Crushed Tomatos 1 กระป๋องขนาด 28 ออนซ์
Tomato Paste 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่าหรือน้ำซุปไก่ หรือน้ำซุปผัก 1 1/2 ถ้วยตวง
ริคอตต้าชีส 8 ออนซ์
มอซซาเรลลาชีสขูด 1 1/2 ถ้วยตวง
มอซซาเรลลาชีสสดหั่นเป็นแผ่นบาง 4 ออนซ์
พามาซานชีส 3/3 ถ้วยตวง
โหรพาสับเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
พาสลี่ย์สับ 1/3 ถ้วยตวง
พริกไทย เกลือ สำหรับปรุงรส

วิธีืำทำ
- ลอกไส้บางๆที่หุ้มไส้กรอกทิ้งไป ยีไส้กรอกให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใส่ไส้กรอกลงในกระทะ เปิดไฟกลางค่อนข้างอ่อน(ไส้กรอกจะได้ไม่จับกันเป็นก้อนใหญ่) คนไส้กรอกไปมาไม่ให้จับกันเป็นก้อน พอเนื้อเริ่มสุกใส่หอมหัวใหญ่
และกระเทียมสับ คนส่วนผสมให้เข้ากัน
- เนื้อไส้กรอกยังไม่สุกดีนัก แม่ปูก็ใส่หอมหัวใหญ่กับกระเทียมลงไป ตอนนี้ถ้าไฟอ่อนไฟให้เพิ่มได้ ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่พริกไทย และเกลือเล็กน้อย(ระวังเค็ม)
- ใส่Crushed Tomatos และTomato Paste ลงไป ตามด้วยน้ำซุปทั้งหมด
- ใส่โหระพา และพาสลี่ย์สับลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน
- ใส่พาสต้าลงไป คนให้เข้ากันกับส่วนผสมอื่นๆในกระทะ ปิดฝากระทะ ลดไฟลงเป็นไฟอ่อน ให้ส่วนผสมเดือดปุดๆ
จนกระทั่งพาสต้าสุก ใช้เวลาประมาณ 10 นาที (แล้วแต่ชนิดพาสต้า)พอครบกำหนด เปิดฝากระทะขึ้น (ชิมดูก่อนก็ได้ว่าพาสต้าสุกหรือยัง)
- เมื่อพาสต้าสุกดีแล้ว ชิมรสได้ที่พอดี ก็ให้โปะชีสลงไปให้ทั่ว เริ่มจากริค็อตต้าชีส มอซซาเรลลาสดหั่นเป็นแว่น พามาซานชีส และก็โรยด้วยมอซซาเรลลาขูดเป็นเส้นๆ ชอบมากน้อยเท่าไหร่ ก็โปะลงไปได้ตามใจชอบ
- เปิดเตาอบในระบบย่าง (ไฟบน) นำกระทะลาซานญ่า เข้าไปในเตาอบ ความร้อนจะทำให้ชีสละลาย ใช้เวลาประมาณ 5 นาที มากน้อยเท่าไหร่กะดูอีกทีนะคะ
- เสร็จเรียบร้อย ลาซานญ่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยชีส
 
 

พิซซ่าฮาวายเอี้ยน : Hawaiian Pizza (homemade)



เครื่องปรุง และส่วนผสม
1. bread flour 1 1/2 ถ้วย
2. all purpose 1 1/2 ถ้วย
3. ยีสต์ 1 1/2 ช้อนชา
4. น้ำอุ่น 1 ถ้วย
5. olive oil 1 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือ 1/2 ช้อนชา
7. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

Toppings
1. แฮม , สับปะรด , พริกหยวก (bell pepper) , Mozzarella Cheese
2. ซอสพิซซ่า
3. หอม

วิธีืำทำ
1. นำน้ำใส่ถ้วย นำเข้าไมโครเวฟ 50 วินาที
2. นำน้ำจากข้อ 1. เทใส่เครื่องทำขนมปัง ตามด้วยน้ำตาล และยีสต์ ทิ้วไว้ 10 นาที
3. หลังจาก 10 นาที ให้เทโอลีฟออยล์ ใส่เครื่องตามด้วยแป้งทั้งหมด
และทำหลุมเล็ก ๆ ตรงกลางของแป้งใส่เกลือลงไป และนำแป้งกลบ
4. กดปุ่ม Menu จนเครื่องแสดงเลข 8 บนหน้าจอ จากนั้นกดปุ่ม start
หลังจากนี้ก็ไปทำงานอย่างอื่นได้ตามอัธยาศัย

เมื่อตัวช่วยนวดแป้งรีดร้อยแล้ว ก็มารีดแป้งและตกแต่งหน้าตามชอบ
จากนั้นเข้าเตาอบด้วยความร้อน 425° F ระยะเวลา 15 นาที

Scrambled Eggs and Smoked Salmon: ไข่กวนแซลมอนรมควัน



Ingredients: ส่วนผสม

ไข่ 1 ฟอง
นม 2 ซีซี
เกลือป่น 2 กรัม
เนย 5 กรัม
พริกไทย 1 กรัม
ขนมปัง แซนด์วิช 1 แผ่น
แซลมอนรมควัน 2 ชิ้น
ต้นหอม ซอยเม็ด 1 ต้น


How To Make: วิธีทำ

1. ผสมไข่ นม เกลือ พริกไทย ตีให้เข้ากัน

2. ปิ้งขนมปังพอเหลือง ใส่จานสำหรับเสิร์ฟ

3. ตั้งกระทะพอร้อน ใส่เนยลงไป แล้วใส่ไข่ที่ผสมไว้ คนพอไข่เริ่มสุก อย่าให้สุกมาก ไข่จะแข็งและแห้ง ยกลงจากเตา

4. ตักไข่วางบนขนมปังที่ปิ้งเตรียมไว้ แต่งหน้าด้วยปลาแซลมอนรมควัน โรยต้นหอม เสิร์ฟพร้อมไส้กรอกทอด เบคอน และกาแฟร้อนๆ



อาหารฝรั่งเศษ

                                                                  อาหารฝรั่งเศษ

เฟรนช์โทสต์ : French Toast




 
 
 
เครื่องปรุง
ขนมปังฝรั่งเศส หั่นหนาขนาด 1/2 นิ้ว 5 แผ่น
นมสด 1 ถ.
ไข่ไก่ขนาดใหญ่ 2 ฟอง
วานิลา 1 ชช.
เกลือ 1/8 ชช.

ขั้นตอนการทำ
เตรียมกระทะที่สามารถนำเข้าเตาอบได้ทันที ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ทอดแล้วตักใส่ถาดนำเข้าเตาอบได้ค่ะ
- เปิดเตาอบไว้ที่ 350 องศาฟาเรนไฮต์
- ผสมนม ไข่ วานิลา เกลือเข้าด้วยกันในชามใบใหญ่
- นำขนมปังที่หั่นสไลด์ไว้มาจุ่มแช่ในอ่างส่วนผสมนม กลับด้านขนมปัง แช่ให้ขนมปังชุ่มไปทั่วทั้งแผ่น ขนมปังดูดส่วนผสมนมไปจนหมด กลับด้านให้ขนมปังแช่ส่วนผสมนมจนชุ่มทั้งสองด้าน
- นำกระทะตั้งบนเตา ทาเนยให้ทั่วกระทะ เปิดไฟปานกลาง
- เมื่อกระทะร้อนได้ที่ ให้นำขนมปังที่ชุ่มๆมาทอดในกระทะ ทอดไปจนขนมปังสีเหลืองสวย
กลับด้านทอดอีกด้านให้เหลืองสวยเหมือนกัน ทอดเสร็จให้นำเข้าอบในเตาอบนาน 8-10 นาที
ราดน้ำเชื่อมเพิ่มเท่านี้ก็จะได้เฟรนช์โทสต์หอมอร่อย

หมายเหตุ อาจใช้ขนมปังโฮสวีต ขนมปังแถว หรือขนมปังเปีย แทนก็ได้
 
 

ซุปเนื้อข้าวโพด : Corn Soup



ส่วนผสม
- ข้าวโพดฝานละเอียด 3 หัว แบ่งไว้เป็น 2 ส่วน
- หัวหอมใหญ่สับละเอียด 1 หัว
- เนย 3 ช้อนโต๊ะ
- นมสด 2 ถ้วย
- แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุป 1 ถ้วย
- เกลือ พริกไทย น้ำตาล
- ใบกระวาน 1 ใบ

วิธีทำ
- ผัดหัวหอมใหญ่กับเนย จนกระทั่งหอมใส แล้วจึงนำเอาข้าวโพด 1 ส่วน ลงไปผัดจนกระทั่ง ข้าวโพดสุก
- ใส่แป้งข้าวโพด ลงไปผัดกับเครื่องปรุงจนทั่วกันดี เติมน้ำซุป เติมเกลือ พริกไทย น้ำตาล ใบกระวาน ตั้งไฟอ่อน
- เคี่ยวซุปด้วยไฟอ่อน จนกระทั่งเครื่องปรุงนิ่มเป็นเนื้อเดียวกัน
- เติมนมสด และข้าวโพดส่วนที่ 2 ลงไป เคี่ยวต่ออีกสักพัก จนกระทั่งข้าวโพดสุก ชิมรสตามชอบ ปิดไฟ พร้อมเสิร์ฟ

เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังกรอบก้อนเล็ก ๆ หรือถ้าชอบเบคอน ใส่เบคอนที่ทอดกรอบแล้วชิ้นเล็ก ๆ โรยหน้า
credit maenainote
 
 

ซุปมะเขือเทศ : Tomato Soup



ส่วนผสม
- น้ำซุป 1 ถ้วย
- มะเขือเทศผลโต ๆ แดง ๆ 5 ผล (ปอกเปลือกต้มแล้วยีเอาแต่เนื้อ)
- เนย 2 ช้อนโต๊ะ
- แป้งสาลี 1 ช้อนโต๊ะ
- นมสด 1/2 ถ้วย
- น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
- ขนมปังกรอบ 1/4 ถ้วย (ขนมปังตัดชิ้นเล็ก ๆ อบให้กรอบเหลือง)

วิธีทำ
- เอาเนยใส่กะทะ ด้วยไฟอ่อน นำเนื้อมะเขือเทศที่ยีไว้เรียบร้อยแล้ว ใส่ลงไปคนให้เข้ากันกับเนย ให้เดือดด้วยไฟอ่อน
- เติมน้ำตาลลงไป แล้วนำน้ำซุปใส่ เคี่ยวต่อให้เดือด
- ผสมแป้งกับนม ให้ละลายทั่วกัน ใส่ลงไป แล้วชิมรส เค็มนิด เปรี้ยวหน่อย หวานน้อย ๆ ปิดไฟ
- เสริฟ พร้อมกับขนมปังกรอบ ชิ้นเล็ก ๆ หากชอบชีสจะโรยชีสฝอยสักนิดหน่อยก้พอได้ (แต่โดยปกติ ไม่นิยม)

ที่มา แม่โน๊ต
 
 

คีช : Quiche Lorraine



ส่วนผสม
-แป้งพายสำเร็จรูปหนึ่งอัน
-ไข่ไก่ 2 ฟอง
-เบค่อนหรือแฮมหั่นลูกเต๋าเล็ก 1/2 ถ้วย
-Leek หรือหอมใหญ่สับละเอียด1/2 ถ้วย
-เห็ดหั่นละเอียด 1/2 ถ้วย
-ชีสหั่นหยาบหรือจะใช้ชีสขูดก็ได้
-นมสด 1/4 ไพน์
-น้ำมันหรือเนยเล็กน้อย
-พริกไทยและเกลือเพื่อปรุงรส

วิธีทำ
- ผัดหอมใหญ่หรือลีคด้วยน้ำมันหรือเนยเล็กน้อย จนพอนิ่มแล้วเติมเบค่อนกับเห็ดผัดให้เข้ากันดี ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย
- ปิดไฟ รอให้หายร้อนแล้วเทไส้ที่ผัดลงในพาย
- ตีไข่กับนมให้เข้ากันเป็นเนื้อสีครีมสวย
- โรยชีสขูดลงบนหน้าพายแล้วเทนมที่ผสมกับไข่ลงจนเต็มพายพอดี
- นำเข้าอบด้วยไฟ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 30-35 นาที จะออกมาหอมกรุ่นหน้าทาน

หากไม่มีแป้งพายสำเร็จรูป
- ร่อนแป้งสาลีเอนกประสงค์ 2 ถ้วยลงในชามผสม เติมน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
- เนย 100 กรัม นวดเบามือพอให้เข้ากัน ระหว่างนวดพรมน้ำเย็นลงไปทีละน้อย
- ให้แป้งเกาะกันจนเนียนมือดีแล้ว ห่อด้วยแผ่นฟอยล์เก็บในช่องฟรีซสักครึ่งชั่วโมง
- แล้วนำแป้งออกมาวางให้อ่อนตัวลงสักพัก คลึงแผ่ออกเป็นแผ่นบางกลม
- วางลงในพิมพ์แก้วหรือถาดโลหะ ใช้ส้อมจิ้มๆให้ทั่ว ทาด้วยไข่ขาวดิบ
- นำเข้าอบด้วยไฟ 180 องศา ประมาณ 20 นาที

ที่มา maejaomay



วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อาหารเวียดนาม

                                                                    อาหารเวียดนาม


เฝอหมูยอ




ส่วนผสม
- ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ๕๐๐ กรัม
- หมูยอหั่นแว่น ๑ อัน
- ถั่วงอก ๑ ถ้วย
- หอมใหญ่ ๑ หัว
- ต้นหอม ขึ้นฉ่ายหั่นฝอย อย่างละ ๑ ช้อนโต๊ะ
- มะนาวหั่นเสี้ยว ๑ ลูก
- พริกขี้หนูเผา ๑๐ เม็ด
- กะปิเผา ๑ ช้อนโต๊ะ
- กระเทียมเจียวผสมกากหมู ๓ ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุป
- ผักสดชนิดต่าง ๆ เช่น ผักกาดหอม ถั่วงอก ผักชีฝรั่ง ผักติ้ว โหระพา

ส่วนผสมน้ำซุป
- กระดูกหมู ๓ กิโลกรัม
- น้ำ ๒๐ ลิตร
- หอมใหญ่ปอกเปลือก ๑๐ หัว
- รากผักชี ๔ ราก
- กระเทียม ปอกเปลือก ๑ ถ้วย
- ข่า ๑๐ แว่น
- พริกไทยเม็ด ๑ ถ้วย
- น้ำมันหอย ๑ ถ้วย
- เกลือป่น ๑ ถ้วย
- น้ำตาลกรวด ๑ ถ้วย

วิธีทำ
1.ล้างกระดูกหมูใส่ลงในหม้อพร้อมน้ำ ต้มด้วยไฟแรง พอเดือด ช้อนฟองทิ้งจนน้ำใส
2.โขลกหอมแดง ข่า กระเทียม พริกไทย รากผักชี พอแหลก ห่อด้วยผ้าขาวบางมัดให้แน่น ใส่ลงในหม้อ
3.ตามด้วยใส่น้ำมันหอย เกลือป่น และน้ำตาลกรวด ลดไฟลง เคี่ยวไปเรื่อย ๆ
4.นำเส้นก๋วยเตี๋ยวและถั่วงอกลวกพอสุก ใส่ชามที่รองด้วยผักกาดหอม วางทับด้วยหมูยอ หอมใหญ่หั่นบาง ๆ
5.ตักน้ำซุปร้อน ๆ ใส่ลงในชาม
6.โรยกระเทียมเจียวผสมกากหมู ต้นหอม ขึ้นฉ่าย
7.เสิร์ฟกับมะนาว พริกขี้หนูเผา กะปิ และผักสดชนิดต่าง ๆ


พะโล้เวียดนาม



ส่วนผสม
หมูสามชั้นหั่นชั้นใหญ่ๆ 300 กรัม
หอมใหญ่หั่นละเอียด 1/2 ถ้วย
กระเทียมสับ 1/2 ถ้วย
หอมแดงสับ 1/2 ถ้วย
ต้นหอมซอย 1/2 ถ้วย
โป๊ยกั๊ก 4-5 ดอก
ไข่ 4 ฟอง
น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ต้มไข่จนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น ปอกเปลือกพักไว้
2. หมักหมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ ด้วยกระเทียมสับ หอมแดงสับ ต้นหอมซอย 1/2 ถ้วย และ โป๊ยกั๊ก ปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว และ ซีอิ๊วดำ พักไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
3. นำหอมใหญ่ลงผัดให้หอมๆ ตักเอาแต่เนื้อหมูลงทอดให้เหลืองทั้งสองด้าน
4. เทน้ำที่ได้จากการหมักลงไป แล้วเติมน้ำลงไปให้ท่วมเนื้อหมู หรี่ไฟให้เบาที่สุด ปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยๆ
5. พอน้ำงวดลงครึ่งนึง ประมาณครึ่งชั่วโมง ชิมรส ใส่ไข้ต้มแล้วลงไปครับ เคี่ยวต่ออีก 1 ชั่วโมง
6. ตักเสิร์ฟได้
credit ft


ขนมเบื้องญวน




ส่วนผสมแป้ง
- แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
- ถั่วเขียวเราะเปลือกคั่วป่น 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น 1/ 4 ช้อนชา
- น้ำ 1 + 1/ 2 ถ้วย
- น้ำปูนใส 1/ 2 ถ้วย

ผสมแป้งข้าวเจ้า ถั่วเขียว เกลือ น้ำปูนใส และ น้ำ เข้าด้วยกัน นวดให้แป้งละลายเป็นเนื้อเดียวกัน

ส่วนผสมไส้กุ้ง
- กุ้งสับ 1 /2 ถ้วย
- มะพร้าวขูดขาว 1 ถ้วย
- รากผักชีหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
- กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
- พริกไทยป่น 1/ 2 ช้อนชา
- เกลือป่น 1/ 2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 1/ 2 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
- ใบมะกรูดซอยละเอียด 1 - 2 ช้อนชา

โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ เข้าด้วยกันให้ละเอียด นำไปผัดกับน้ำมันให้หอม
ใส่กุ้ง ผัดพอสุก ใส่มะพร้าว ผัดพอทั่ว ปรุงรสด้วยน้ำตาล ใส่ใบมะกรูด ตักใส่ถ้วย

ส่วนผสมไส้
- เต้าหู้แข็งหั่นชิ้นเล็ก ๆ 1 แผ่น
- หัวไชโป๊สับ 1/ 2 ถ้วย
- ถั่วงอกเด็ดหาง 300 กรัม
- ถั่วลิสงคั่วป่น 1/ 2 ถ้วย
- ผักชีเด็ดเป็นใบ ๆ ก้านผักชีซอยละเอียด

วิธีทำทำขนมเบื้องญวนชนิดกรอบ
1.นำกระทะตั้งไฟ พอกระทะร้อนใส่แป้ง กลอกแป้งให้ทั่วกระทะ พอแป้งสุก
2.ใส่ถั่วงอก เต้าหู้ หัวไชโป๊ ถั่วลิสง เมื่อแป้งล่อนออกจากขอบกระทะ
3.ค่อย ๆ ใส่น้ำมันรอบ ๆ กระทะเล็กน้อย เมื่อแป้งกรอบ
4.ใส่ไส้กุ้ง โรยพริกไทย ผักชี พับครึ่ง ตักใส่จาน เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมอาจาด

วิธีทำขนมเบื้องญวนชนิดไข่
1.แบ่งแป้ง 1 ถ้วย ใส่ไข่ 1 ฟอง ตีพอเข้ากัน กลอกแป้งลงในกระทะที่ร้อน ใส่ถั่วงอก เต้าหู้ หัวไชโป๊
ถั่วลิสง ใส่ไส้กุ้ง โรยพริกไทย ผักชี
2.พอแป้งสุก พับสี่ด้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม
3.ใส่น้ำมันทอดพอเหลือง ตักใส่จาน เสิร์ฟร้อน ๆ กับอาจาด

ส่วนผสมน้ำจิ้ม(อาจาด)
- แตงกวาซอยบาง ๆ 1/ 2 ถ้วย
- หอมแดงซอย 5 หัว
- พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น 1 เม็ด
- ผักชีเด็ดเป็นใบ ๆ 1 ต้น
- น้ำตาลทราย 1/ 2 ถ้วย
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- น้ำส้มสายชู 1/ 2 ถ้วย

วิธีทำ
ผสมน้ำตาล เกลือ น้ำส้มสายชู ลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น
เมื่อจะเสิร์ฟใส่หอมแดง แตงกวา พริกชี้ฟ้า ลงในถ้วย ราดด้วยน้ำปรุงรส แต่งด้วยใบผักชี
 
 

ข้าวเปียก



ส่วนผสม :
เส้นข้าวเปียกสดหรือแห้ง ๔ ถุง
ซี่โครงหมูอ่อน ๑ กิโลกรัม
หมูยอหั่นเส้น ๑/๒ ถ้วย
หอมใหญ่ปอกเปลือกสับหยาบ ๑ ถ้วย
ต้นหอม ผักชีหั่นซอย อย่างละ ๒ ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น ๑ ช้อนชา
เกลือป่น ๑ ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย ๑ ช้อนโต๊ะ
น้ำ ๕ ถ้วย

วิธีทำ :
1.ล้างซี่โครงหมู สับเป็นชิ้นเล็ก เคล้ากับน้ำมันหอย พริกไทย หมักไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา ๑ คืน
2.ต้มซี่โครงหมูกับน้ำจนเปื่อยนุ่ม ใส่หอมใหญ่ ต้มพอสุก
3.ใส่เส้นขาวเปียก ต้มประมาณ ๑๐ นาที ให้เส้นนุ่มและน้ำข้น ปิดไฟ
4.ตักใส่ถ้วย ใส่หมูยอ โรยต้นหอมและผักชี
5.รับประทานกับพริกแดงบด

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อาหารจีน

                                            อาหารจีน

ขนมจีบกุ้ง




ส่วนผสม
เนื้อหมู 200 กรัม
กุ้งสด 200 กรัม
มันแกว 100 กรัม
แครอท 100 กรัม
หอมใหญ่ ½ หัว
ไข่ไก่ (เฉพาะไข่ขาว) 1 ฟอง
วิสกี้ ½ ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
แผ่นแป้งขนมจีบ (ตามความพอใจถ้าชอบใส่ไส้น้อยก็แผ่นแป้งเยอะหน่อย)

วิธีทำ
- นำมันแกว และแครอท มาสับให้ละเอียด แล้วซับน้ำออกให้แห้งพักไว้
- นำหอมใหญ่มาสับให้ละเอียด พักไว้กับมันแกวและแครอท
- นำเนื้อหมูกับกุ้งสด มาปั่นให้ละเอียดพร้อมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- ใส่แป้งข้าวโพด วิสกี้ ซอสปรุงรส น้ำตาล พริกไทย เกลือป่น ผสมเข้ากับเนื้อกุ้งและหมูบด หมักไว้ 15 นาที
- นำส่วนผสมที่เตรียมไว้ทั้งหมดมาผสม ให้เป็นเนื้อเดียวกัน
- ใส่ไข่และ น้ำมันงา ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
- นำแผ่นเกี๊ยววางบนมือระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือข้างไม่ถนัด แล้วตักไส้ใส่ตรงกลาง 1 ช้อน หรือกะเอาให้เวลาห่อแผ่นแป้งจะเสมอพอดีกับใส้
- นำขนมจีบที่ห่อแล้วไปนึ่ง ใช้ไฟแรงประมาณ15 นาที
- เมื่อสุกแล้วนำออกมาจัดใส่จานเสริฟพร้อมน้ำซอส
หมายเหตุ เมื่อนึ่งเสร็จแล้วควรใส่น้ำมันกระเทียมเจียวเพื่อไม่ให้แป้งติดกัน
 
 
 

ปีกไก่เหล้าแดง



ส่วนผสม

ปีกไก่อ้วนๆ 1 กิโลกรัม
เหล้าแดง 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
ผงชูรส 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
ซอสมะเขือเทศแบบกระป๋อง 4 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 4-5กลีบ
ผักชี1-2ต้น
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ
- เอาปีกไก่ที่ล้างสะอาดแล้ว เช็ดให้แห้งโรยเกลือป่น และพริิกไทยป่นนิดหน่อย นำไปนึ่งพอไก่นุ่มยกลง
- เมื่อปีกไก่เย็นดีแล้วจึงนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัด ไฟกลาง พอไก่เหลือง นำใส่ในตะแกรง
- จากนั้นนำกระเทียมลงตีในน้ำมันให้เหลือง ใส่ซ้อสมะเขือเทศลงผัด ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ผงชูรส เหล้าแดง น้ำตาลทราย คนให้พอเหนียว นำปีกไก่ที่ทอดเหลืองแล้ว ลงคลุกให้เข้ากันดี แล้วยกลงโรยผักชี ใครชอบเผ็ดเติมซอสพริกลงไปด้วยเล็กน้อย


หอยจ๊อปู


ส่วนผสมหอยจ้อ
- เนื้อปู   2 กิโล
- เนื้อหมูใช้สันคอ 1.5 กิโล (ต้มให้สุก แล้วหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าหรือสับหยาบๆ หรือใส่เครื่องบดก็ได้)
- แห้วกระป๋องเอาแต่เนื้อ สับหยาบๆ 3กระป๋อง
- โคนต้นหอมหั่นขวาง ใช้350กรัม
- รากผักชีโขลก ประมาณ1 ถ้วยตวง
- ไข่เอาเฉพาะไข่ขาวอย่างเดียว ขนาดกลางๆใช้8-10ฟอง
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 3 ถ้วยครึ่ง
- แป้งมัน ใช้ ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันงา 4ช้อนโต๊ะ
- เหล้าจีน 5 ช้อนโต๊ะ
- ซีอิ้วขาว  5-7ช้อนโต๊ะค่ะค่อยๆใส่ต้องลองชิมด้วย เพราะปูมีรสเค็มอยู่แล้ว
- พริกไทยป่น 4ช้อนชา
- ฟองเต้าหู้ 4แผ่น

วิธีทำ1.ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วนำมาคลุกเคล้ากับหมู แห้ว ใส่ปูหลังสุด
2.เอาผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆมาม้วนกับฟองเต้าหู้ให้นิ่ม รอให้นิ่มแล้วคลายผ้าออก ถ้ามีตรงไหนขาดเป็นรูโหว่ ใช้เศษฟองเต้าหู้ชุบน้ำแล้วปะเอา
3.ตักส่วนผสมวางเกลี่ยให้เสมอกันเป็นแนวขวาง (ใหญ่-เล็กตามต้องการ)
4.ม้วนฟองเต้าหู้ไป2-3รอบพับหัวท้ายให้เรียบร้อย
5.ใช้เชือกฟางสีขาวตัดสั้นฉีกฝอยมามัด หรือ เชือกกล้วย
6.เรียงใส่รังถึงนึ่ง10นาที
7.ถ้ารีบยกออกตอนร้อนๆ ฮอยจ้อยังนิ่มอยู่เดี๋ยวขาดหลุดลุ่ย
8.นำออกมาผึ่งให้เย็นและแห้ง
9.ตัดเชือกออกแล้วนำไปทอดไฟกลางๆน้ำมันมากหน่อย
10.ถ้าทำมากสามารถเก็บแช่ช่องฟรีทอยู่ได้นาน อยากทานตอนไหนนำเอาออกมาทอดได้เลย
11.ทานกับน้ำจิ้มบ่วยเจี่ยหรือซอสพริก

 

ปูผัดผงกะีหรี่



เครื่องปรุง
1.ไข่เป็ด                                              2  ฟอง
2.นมสดกระป๋อง                                 2  ช้อนโต๊ะ
3.น้ำมันน้ำพริกเผา                               2  ช้อนโต๊ะ
4.ผงกะหรี่ตรามือ(สูตรอังกฤษ)           1  ช้อนชา
5.น้ำตาลทราย                                     ½ ช้อนโต๊ะ
6.น้ำมันหอย                                        1  ช้อนโต๊ะ
7.ซีอิ๊วขาว                                           1  ช้อนโต๊ะ
8.พริกชี้ฟ้าแดงหั่นตามยาว                  2  ดอก
9.ต้นหอมหั่นยาว 2 นิ้ว                        2  ต้น
10.ปู หรือ เนื้อปู
วิธีทำ1.นำเครื่องปรุงทั้งหมดผสมเข้าด้วยกัน ใช้ทัพพีคนเบาๆให้เป็นเนื้อเดียวกัน
2.หั่นปูแยกออกเป็นกระดอง กรรเชียง และก้าม แล้วเอาไปนึ่งให้สุก
3.ตั้งกระทะบนเตาใช้ไฟกลางๆ นำพริกชี้ฟ้าแดงและต้นหอมลงผัดกับน้ำมันให้ส่งกลิ่นหอมกรุ่น จึงเทปูนึ่งลงไปผัด
4.พอน้ำมันเคลือบปูทั้งตัวแล้วจึงเทเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงไปผัด เร่งไฟให้แรงขึ้น พอเนื้อไข่เป็ดเริ่มสุกจึงตักปูผัดผงกะหรี่ใส่จานเสริฟร้อนๆทันที

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อาหารลาว

                                                               อาหารลาว
ตำมะละกอด้วยักอื่นๆ
ก้อยไข่มดแดง

ส่วนผสม

ไข่มดแดง 300 กรัม

หัวหอมซอย 7 - 8 หัว

น้ำปลาร้า2 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

พริกแห้งป่น 1.5 ช้อนโต๊ะ

ข้าวคั่วป่น2 ช้อนโต๊ะ

ต้นหอมหั่นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ

ใบสะระแหน่ 5 - 6 ต้น (เด็ดเป็นใบ)

วิธีทำ

นำไข่มดแดงล้างให้สะอาดใส่กระชอน พักให้สะเด็ดน้ำ ใส่อ่างผสม

นำเครื่องปรุงทั้งหมดใส่คลุกเคล้าให้เข้ากัน

ใส่พริกแห้งป่น ข้าวคั่วป่น หัวหอมซอย ต้นหอมหั่นฝอยชิมรส ตักใส่จานโรยหน้าด้วย ใบสะระแหน่และพริกชี้ฟ้าสด

ผักเครื่องเคียง
ผักที่นิยมรับประทานเป็นเครื่องเคียงได้แก่ ผักกะโดน เม็ก ติ้ว หนอก (บัวบก) มะเขือถั่วฝักยาว แตงกวา และอื่น ๆ
หมายเหตุ
ส่วนผสมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม






แกงขี้เหล็ก

ส่วนผสม

ใบขี้เหล็กที่ต้มแล้ว (ต้มรินน้ำทิ้ง 2 ครั้ง)= 500 กรัม

หนังวัวต้มหั่น หรือไข่มดแดง= 200 กรัม

น้ำใบย่านาง=3 ถ้วยตวง

ต้นหอมตัดท่อนสั้น= 1/4 ถ้วยตวง

ใบอีตู่ (แมงลัก)= 1/4 ถ้วยตวง

ตะไคร้ ตัดท่อนยาว 2 นิ้ว= 2 - 3 ชิ้น

ส่วนผสมน้ำพริกแกง

พริกแห้งหรือพริกสด = 15 เม็ด

หัวหอมแดง=10 หัว

ตะไคร้หั่นฝอย=7 - 8 ต้น

เกลือ= 2 ช้อนชา

น้ำปลาร้า= 4 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา= 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

โขลกตะไคร้ พริกแห้งหรือพริกสด หัวหอมแดงพอหยาบ ๆ ใส่เกลือ

นำน้ำใบย่านางที่โขลก ใส่หม้อตั้งไฟใส่ใบขี้เหล็ก คนให้เข้ากันใส่ตะไคร้ พอเดือดปรุงรสด้วย น้ำปลาร้า น้ำปลา ใส่หนังวัวหั่นหรือไข่มดแดงต้มต่อไปให้เดือดอีกครั้ง ชิมรส ใส่ผักแต่งกลิ่น ต้นหอม อีตู่ ยกลงรับประทาน

หมายเหตุ
ส่วนผสมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม


แกงส้มดอกแค

แกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม "มักจะเป็นคำพูดติดปากที่ได้ยินคุ้นหูกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งจริง ๆแล้วแกงส้มนั้นสามารถใช้ผักต่าง ๆ ได้หลากหลายชนิด เช่น แกงส้มผักกระเฉดแกงส้มผักบุ้ง แกงส้มถั่วฝักยาว เป็นต้นและแกงส้มยังมีคุณค่าด้านเป็นยาปรับสมดุลของร่างกายได้ตามหลักของการแพทย์แผนไทย


เครื่องปรุง

ปลาช่อน = 1 ตัว (500 กรัม)

น้ำพริกแกงส้ม= 1 ถ้วย (100 กรัม)

น้ำเปล่า= 1-2 ถ้วย

ดอกแค (พอประมาณ)= 100 กรัม

น้ำมะขามเปียก= 3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)

น้ำตาล= 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)

มะนาว= 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)

น้ำปลา = 3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)

กะปิ=3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)

วิธีทำ

1. นำปลาช่อนมาทำความสะอาดขอดเกล็ดตัดหัวออก และหั่นส่วนตัวเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1-11/2 นิ้ว
2.
ใส่น้ำสะอาดในภาชนะปิดฝาให้สนิท ตั้งไฟจนเดือด ใส่ปลาช่อนลงต้มน้ำในหม้อ
3.
เมื่อปลาสุกแล้วให้นำส่วนหัว 3 ชิ้นไปโขลกรวมกับน้ำพริกแกงละลายน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใส่ดอกแคที่เตรียมไว้ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำตาล ปิดฝาภาชนะให้สนิทตั้งไฟต่ออีกประมาณ 5 นาที (ปรุงให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน) นำมารับประทานขณะร้อน

สรรพคุณทางยา

1. น้ำพริกแกงส้ม รสเผ็ดร้อน ช่วยขับลมช่วยย่อยอาหาร
2.
ดอกแค รสหวานออกขมเล็กน้อย แก้ไข้หัวลม
3.
มะขามเปียก รสเปรี้ยว ขับเสมหะ แก้ท้องผูก แก้ไอลดความร้อนในร่างกาย
4.
มะนาวเปลือกผลรสขมช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟันฟอกโลหิต

ประโยชน์ทางอาหาร

แกงส้มดอกแคแก้ไข้หัวลม มีประโยชน์และคุณค่ามากมายเช่น รสเปรี้ยวของแกงส้มบำรุงธาตุน้ำ รสเผ็ดของน้ำแกงบำรุงธาตุลม ดอกแคมีก้านเกสรรสขม แก้ไข้ซึ่งการที่จะมุ่งประโยชน์ในการปรับธาตุใดนั้นให้ปรุงรสเน้นไปตามธาตุนั้น

คุณค่าทางโภชนาการ

แกงส้มดอกแค 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 58 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย
-
น้ำ= 501.4 กรัม
-
โปรตีน= 111.9 กรัม
-
ไขมัน= 22 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต= 7.3 กรัม
-
กาก= 7.1 กรัม
-
ใยอาหาร= 1.1 กรัม
-
เถ้า=16.8 กรัม
-
แคลเซียม=435.3 มิลลิกรัม
-
ฟอสฟอรัส=1,634.7 มิลลิกรัม
-
เหล็ก= 49.2 มิลลิกรัม
-
วิตามินเอ=1207.7 IU
-
วิตามินบีหนึ่ง=0.58 มิลลิกรัม
-
วิตามินบีสอง= 1.37 มิลลิกรัม
-
ไนอาซิน= 17.16 มิลลิกรัม
-
วิตามินซี= 30.85 มิลลิกรัม
ข้าวจี่

ข้าวจี่ - นิยมรับประทานกันในฤดูหนาวเพราะชาวบ้านจะมานั่งจะมานั่งผิงไฟ
แล้วทำการจี่ข้าวกันไปผิงไฟกันไปเป็นการแก้หนาว
และอีกเหตุผลหนึ่งช่วงนี้เป็นช่วงหลังเก็บเกี่ยวข้าวเหนียวที่ได้จะมีกลิ่นหอมนุ่ม
เหมาะแท้ที่จะนำมาทำการจี่กินด้วยเหตุนี้ในช่วงฤดูหนาวจึงเหมาะที่จะจี่ข้าวกินกัน
เครื่องปรุง
ข้าวเหนียวนึ่งสุกไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็แล้วแต่ความชอบของใครของใคร น้ำปลา
วิธีทำ
-
นำข้าวเหนียวนึ่งสุกมาปั้นเป็นก้อนกลมๆหรือรูปร่างตามที่ชอบ
-
ทำการจี่ด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลืองพองาม
-
ตีไข่ให้แตกใส่น้ำปลา
-
นำข้าวที่ปิ้งมาจุ่มลงในไข่ที่เตรียมไว้แล้วทำการจี่ต่อไปจนสุก
เคล็ดไม่ลับ
-
สามารถประยุกต์วิธีทำและเครื่องปรุงตามความคิดได้
คุณค่าอาหาร
-
วิตามิน โปรตีนคาร์โบไฮเดรต


แจ่วบอง

แจ่วหรือ น้ำพริก เป็นอาหารที่ชาวอีสานนิยมรับประทานกัน เพราะทำได้ง่ายมีเครื่องปรุงไม่มากนัก แค่มีพริกและปลาร้าในครัวก็สามารถทำแจ่วได้แล้ว ด้วยความที่ทำได้ง่ายจึงจะพบว่าอาหารของชาวอีสานเกือบทุกมื้อจะต้องมีแจ่วเป็นอาหารหลักๆน่นอน ชาวอีสานนิยมรับประทานแจ่วกับผักที่เก็บได้จากรั้วบ้าน หรือกับพวกเนื้อย่าง ปลาย่าง หรือนึ่ง ปัจจุบันถึงแม้วิถีชีวิตของชาวอีสานจะเปลี่ยนไปแต่อาหารต่างโดยเฉาะแจ่วไม่ได้เสื่อมความนิยมลงไปเลย เพราะเหตุนี้เราจึงหาทานแจ่วแบบอีสานได้ทั่วๆไป

เครื่องปรุง

- รากผักชี

- ตะไคร้เผาพอหอม

- ปลาร้าสับละเอียด

- น้ำมันพืช(ไม่ใช้ก็ได้-ใช้น้ำเปล่าแทนได้)

- น้ำมะขามเปียก-ข้น

- ข่าเผาซอย

- พริกป่น

- ปลาป่น

- น้ำปลา

- น้ำตาลทราย

- ผักสดตามชอบ


วิธีทำ
1.
โขลกรากผักชีตะไคร้ ข่าให้ละเอียดใส่กระเทียม หอม โขลกต่อให้ละเอียดใส่พริกป่นปลาร้าโขลกต่อให้เข้ากัน
2.
ตั้งกระทะไฟอ่อนใส่น้ำมันพร้อมใส่ส่วนผสมผัดใส่น้ำปลาร้าน้ำ มะขามเปียกน้ำตาลผัดจนหอมจึงตักขึ้นรับประทานกับผักสดผักนึ่งถ้าไม่ชอบปลาร้าใส่น้ำปลาก็ได้

เคล็ดลับ
ควรใช้ปลาร้าที่เนื้อแน่นๆ

คูณค่าทางอาหาร
โปรตีนวิตามินเอ ซี โปรตีน



แจ่ว (มะเขือเทศ) เครื่องปรุง

1.
มะเขือเทศ ซัก 3 ลูก
2.
พริกเม็ดใหญ่ 15-20 เม็ด
3.
หอม ซัก 3 หัวหรือมากกว่านี้ 4.กระเทียม
5.
น้ำปลาร้าต้มสุก หรือ น้ำปลา
6.
มะนาว
7.
พริกขี้หนู ถ้าชอบเผ็ดมากๆ
วิธีทำ
1.
เอา มะเขือเทศ หอม (ที่แกะเปลือกแล้ว)พริก ทั้งเม็ดใหญ่ แล้วก็พริกขี้หนูค่ า กระเทียม (จะแกะเปลือกออกด้วยก็ได้นะคะ)ไปย่าง หรือ คั่ว ก็ได้ค่ะ (จะหั่นครึ่งหัวหอม ซักหน่อยก็ได้นะคะเวลาตำจะได้สะดวกหน่อย)

**
เอาไม้เสียบมะเขือเทศเข้าด้วยกันก็ได้นะคะน้ำจากมะเขือเทศจะได้ไหลออกบ้างตอนย่าง เวลาเอาไปตำน้ำจะได้ไม่เยอะเกินไป
2.
พอย่างเสร็จแล้ว ก็เอา มาจัดการได้เลยค่ามะเขือเทศปอกเปลือกซักหน่อย ถ้าพริกเปลือกมันหนา ก็ปอกออกได้นะคะ รึเอาที่มันไหม้ๆจากการย่างออกไปเฉยๆก็พอ แต่เจี๊ยบแกะเปลือกพริกออกเพราะรู้สึกว่าพริกที่เจี๊ยบใช้เปลือกมันหนาๆชอบกล
3.
เอาหอม กระเทียม พริก ใส่ครก ตำให้ละเอียด (แต่ไม่ต้องมากนักนะคะ บางคนอาจจะตำพอแหลกก็ได้ตามชอบค่ะ)
4.
ใส่มะเขือเทศที่ปอกเปลือกแล้วลงไปค่า ตำๆให้เข้ากัน
5.
ใส่น้ำปลาร้าต้มสุก ชิมรส ถ้าไม่เค็มพอ จะใส่น้ำปลาเพิ่มก็ได้ค่ะใครจะใส่แต่น้ำปลาเฉยๆก็ได้นะคะ อร่อยเหมือนกันถ้าชอบรสเปรี้ยวก็ใส่มะนาวเพิ่มไปได้ค่า ชิมรสตามใจคนทำ
เสร็จแล้วตักใส่ถ้วย ทานกับผักสด รึผักนึ่ง ผักลวก แล้วก็ปลานึ่งอร่อยมากๆเลยค่า



ซุปหน่อไม้

ซุปหน่อไม้เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและแพร่หลายในทุกภาคเนื่องจากมีกรรมวิธีการทำที่ง่ายๆและไม่ยุ่งยากใช้เครื่องปรุงที่มีอยู่ในครัว และหน่อไม้ก็หาได้ทั่วไปตามชนบท บางบ้านก็ปลูกหน่อไม้ไว้ข้างบ้าน
ซุปหน่อไม้เป็นอาหารที่เป็นที่นิยมของชาวอีสานเช่นกัน ซึ่งสามารถหากินได้แทบจะทุกจังหวัด แต่กรมวิธีในการปรุงซุปหน่อไม้นั้นอาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่น แต่ก็ไม่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงซุปหน่อไม้ก็เช่นเดียวกับอาหารอื่นๆของภาคอีสานคือจะมีรสจัดจ้าน และมีเครื่องปรุงหลักที่ขาดไม่ได้เลยคือ น้ำปลาร้า เรียกได้ว่าชาวอีสานทุกครัวเรือน จะต้องมีน้ำปลาร้าประจำอยู่ในครัว ถ้าไม่มีอาหารอะไรก็จะเอาปลาร้ามาตำน้ำพริกรับประทานกับผักสดที่ปลูกอยู่ข้างบ้าน ถือเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างหนึ่งของชาวอีสาน ที่มีลักษณะการดำรงชีวิตแบบง่ายๆ คือ อยู่ง่ายๆ กินง่ายๆ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่รอบๆตัวให้เกิดประโยชน์สูงสุด และรู้จักประยุกต์ใช้ทรัพยากรในหลายๆด้าน

เครื่องปรุง

หน่อไม้รวกขูดเป็นเส้นฝอย = 300 กรัม

ใบย่านาง= 20 ใบ (15 กรัม)

น้ำคั้นจากใบย่านาง= 2 ถ้วย

น้ำปลาร้า= ½ ถ้วย (50 กรัม)

เกลือ = ½ ช้อนชา (4 กรัม)

น้ำปลา= 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)

มะนาว= 23 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)

ผักชีฝรั่งซอย= 2 ต้น (7 กรัม)

ต้นหอมซอย=2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)

ใบสะระแหน่เด็ดเป็นใบ= ½ ถ้วย (50 กรัม)

งาขาวคั่ว= 1 ช้อนชา (8 กรัม)

พริกป่น= 1 ช้อนชา (8 กรัม)

ข้าวเหนียว= 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)

วิธีทำ
-
นำหน่อไม้มาเผาไฟหรือต้มให้สุกนำมาขูดเป็นเส้นฝอยๆโดยใช้ส้อมหรือเข็มขูดตัดเป็นท่อนประมาณหนึ่งคืบ แล้วนำไปต้มให้หายขม
-
ใบย่านาง คั้นให้ได้นำค้นเขียวประมาณ2ถ้วย
-
คั่วงาโดยใช้ไฟอ่อนๆ แล้วร่อนเอาฝุ่นอกให้หมดโขลกให้ละเอียดเอาไว้โรยหน้าหรือจะโขกรวมกับซุปหน่อไม้ก็ได้
-
หั่นผักทุกชนิดแบบฝอย หอมแดงเผา พริกสดเผา โขลกรวมกัน
-
นำหน่อไม้มาบีบน้ำออกให้หมด ใส่ลงในนำใบย่านาง เติมเกลือน้ำปลาน้ำปลาร้าแล้วต้มให้น้ำย่านางสุกจนน้ำขลุกขลิก
-
โขลกพริกและหัวหอมที่เผาแล้วให้ละเอียด ใส่เนื้อปลาลงโขลกใส่หน่อไม้ที่ต้มกับใบย่านางแล้วลงไป ปรุงรสอีกครั้งชิมดูรสตามความต้องการแล้วปล่อยให้เย็น โรยผักงาและพริกป่นที่เตรียมไว้ถ้าหากชอบรสเผ็ด
-
จัดใส่จานรับประทานกับผักสดพื้นบ้าน
ข้อควรรู้
-
ควรรับประทานหลังทำเสร็จใหม่ๆจะแซ้บที่สุด
-
หน่อไม้ควรเป็นหน่อไม้ใหม่ๆและอ่อนเส้นหน่อไม้ที่ขูดควรเส้นเล็ก
-
ถ้าไม่ชอบปลาร้าใส่นำปลาแทนก็ได้
-
นำซุปหน่อไม้ควรจะขลุกขลิกเล็กน้อยและข้น
คุณค่าทางโภชนาการ

- วิตามิน เกลือแร่คาร์โบไฮเดรต

สรรพคุณทางยา
1.
หน่อไม้ มีรสขมหวานร้อน
-
รากรสอร่อยเอียนเล็กน้อย ใช้ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ
-
ใบไผ่เป็นยาขับฟอกล้างโลหิตระดูที่เสีย
2.
ย่านางมีรสจืดทั้งต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ
-
ใบ ใช้เป็นยาถอนพิษปรุงรวมกับยาอื่นแก้ไข้
-
ราก แก้เบื่อเมา กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุราถอนพิษผิดสำแดง
3.
มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
4.
ผักชี ช่วยละลายเสมหะแก้หัด ขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เจริญอาหาร
5.
ต้นหอม
-
ใบ รสหวานเผ็ดเค็มฉุน แก้ไข้หวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล แก้โรคตาแก้ไข้กำเดา
6.
สะระแหน่
-
ใบ/ยอดอ่อน รสหอมร้อน ขับเหงื่อแก้ปวดท้อง ขับลมในกระเพาะลำไส้ แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อแก้

อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
7.
งา
-
เมล็ด รสฝาดหวานขมทำให้เกิดกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
-
น้ำมัน รสฝาดร้อนทำน้ำมันใส่แผล
8.
พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลมช่วยย่อย
9.
ข้าวเหนียว รสมัน หอมหวาน บำรุงร่างกาย แก้ตาฟาง แก้เหน็บชาแช่น้ำตำเป็นแป้งพอกแก้ปวด



แกงหน่อไม้

หน่อไม้เป็นต้นอ่อนของไผ่ไม้ไผ่เป็นทรัพยากรป่าไม้ที่มีค่ายิ่งต่อชีวิตและความเป็นอยู่ประจำวันของคนไทยโดยเฉพาะชาวชนบทจะมีความสัมพันธ์กับไม้ไผ่อย่างแน่นแฟ้นทุกส่วนของไม้ไผ่นับตั้งแต่รากถึงยอดจะใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเริ่มตั้งแต่รากฝอยของไม้ไผ่ช่วยยึดติดไม่ให้ดินพังทลายต้นอ่อนของไผ่หรือหน่อไม้เป็นอาหารธรรมชาติของคนไทยมาช้านานเหง้าสามารถนำไปทำเครื่องประดับ กิ่งก้าน มัดรวมกันสามารถใช้ทำเป็นไม้กวาดได้และลำไม้ไผ่ใช้ทำบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทำเครื่องเรือน ทำด้ามเครื่องมือการเกษตรและภาชนะต่างๆ ทำเครื่องดนตรี เครื่องจักรสาน ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลินเยื่อกระดาษการทำไหมเทียมตลอดจนไม้ไผ่นำมาทำเชื้อเพลิงได้

ส่วนที่ใช้เป็นอาหารได้แก่หน่ออ่อนของไม้ไผ่หรือหน่อไม้รับประทานเป็นผักหน่อไม้เป็นผักที่มีมากในฤดูฝนพบในท้องตลาดทุกภาคของเมืองไทย ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหารกันทุกภาค ที่นิยมทำเป็นอาหารกันมากของชาวอีสาน คือ แกงหน่อไม้ใบย่านาง


เครื่องปรุง

หน่อไม้รวกเผา= 5 หน่อ (300 กรัม)

ใบย่านาง= 20 ใบ (115 กรัม)

เห็ดฟางฝ่าครึ่ง= ½ ถ้วย (100 กรัม)

ชะอมเด็ดสั้น= ½ ถ้วย (50 กรัม)

ฟักทองหั่นชิ้นพอคำ= ½ ถ้วย (50 กรัม)

ข้าวโพดข้าวเหนียวฝานเอาแต่เมล็ด= ½ ถ้วย (50 กรัม)

แมงลักเด็ดเป็นใบ= ½ ถ้วย (50 กรัม)

ตะไคร้ทุบหั่นท่อน= 2 ต้น (60 กรัม)

น้ำปลาร้า= 3 ช้อนโต๊ะ (48 กรัม)

น้ำ34 ถ้วย = (300400 กรัม)

กระชายทุบ= ¼ ถ้วย (10 กรัม)

พริกขี้หนู= 10 เม็ด (10 กรัม)

ข้าวเบือ = 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)

น้ำปลา= 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)


หมายเหตุข้าวเบือ คือ ข้าวเหนียวแช่น้ำประมาณ 20 นาทีขึ้นไป แล้วนำมาโขกใช้ละเอียด

วิธีทำ
1.
โขลกข้าวเบือให้ละเอียด
2.
ปอกเปลือกหน่อไม้ ตัดส่วนแก่ทิ้ง ตัดเป็นท่อนยาว 2 นิ้ว ต้มน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง ให้หายขื่น
3.
โขลกใบย่านางแล้วนำไปคั้นกับน้ำ ให้น้ำใบย่านางออก กรองใส่หม้อ
4.
นำหม้อที่ใส่น้ำใบย่านางยกขึ้นตั้งไฟ ใส่หน่อไม้พอเดือดใส่กระชาย พริกขี้หนู ตะไคร้ข้าวเบือ น้ำปลาร้า น้ำปลา ต้มสักครู่ ใส่ฟักทอง เห็ดฟาง ข้าวโพดเมื่อทุกอย่างสุกทั่วกันดี ใส่ชะอม ใบแมงลัก ยกหม้อลง

สรรพคุณทางยา
1.
หน่อไม้ มีรสขมหวานร้อน
-
ราก รสอร่อยเอียนเล็กน้อย ใช้ขับปัสสาวะแก้ไตพิการ
-
ใบไผ่ เป็นยาขับฟอกล้างโลหิตระดูที่เสีย
2.
ย่านาง มีรสจืด ทั้งต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ
-
ใบ ใช้เป็นยาถอนพิษปรุงรวมกับยาอื่นแก้ไข้
-
ราก แก้เบื่อเมา กระทุ้งพิษไข้ เป็นเมาสุราถอนพิษผิดสำแดง
3.
เห็ดฟาง (เห็ดบัว) รสจืดให้พลังงานและสารอาหารโปรตีนที่มีคุณค่าแทนเนื้อสัตว์ช่วยกระจายโลหิต
4.
ชะอม รากชะอมมีสรรพคุณแก้ท้องเฟ้อ ขับลมในลำไส้แก้อาการปวดเสียวในท้องได้ดียอดชะอมใบอ่อน มีรสจืด กลิ่นฉุน (กลิ่นหอมสุขุม) ช่วยลดความร้อนของร่างกาย
5.
ฟักทอง มีคุณค่าทางอาหารสูง บำรุงสายตา บำรุงร่างกาย
6.
ข้าวโพดรสหวานมัน เมล็ด เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร ฝาดสมาน บำรุงหัวใจ ปอด เจริญอาหารขับปัสสาวะ
-
ราก ต้มกินรักษานิ่ว และอาเจียน
7.
แมงลัก ใบสดรสหอมร้อน เป็นยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคท้องร่วง ขับลม
8.
ตะไคร้แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร และขับเหงื่อ
9.
กระชายรสร้อน แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับลม แก้บิดมีตัว ขับพยาธิตัวกลม และพยาธิเส้นด้ายในเด็กใช้แต่งกลิ่น สี รสอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่มีพิษ
10.
พริกขี้หนูรสเผ็ดร้อน ช่วยย่อย

ประโยชน์ทางอาหาร
แกงหน่อไม้ใส่ใบย่านาง รสชาติโดยรวมจะออกไปทางขมร้อนจากการใส่ผักหลายชนิดซึ่งมีทั้งรสร้อน รสขม จืดมัน จึงช่วยในการบำรุงธาตุขับปัสสาวะ แก้ไข้ ขับลม และช่วยเจริญอาหาร




ต้มแซบเนื้อ
เครื่องปรุง

- เนื้อส่วนสะโพก= 300 กรัม

- ข่าหั่นแว่นบาง= 3 - 4แว่น

- หอมใหญ่หั่นแว่น= 1 หัว

- กระเทียมบุบพอแตก= 1 ช้อนโต๊ะ

- พริกขี้หนูสวนบุบพอแตก= 5 - 6เม็ด

- ผักชีฝรั่งหั่นหยาบ ๆ= 2 ช้อนโต๊ะ

- ใบกะเพรา= 1/4ถ้วย

- น้ำมะนาว= 2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำปลา= 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำเปล่า= 3 ถ้วย




วิธีทำ

1 ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือดใส่เนื้อลงเคี่ยวพอเนื้อนุ่ม ตักเนื้อออก กรองน้ำซุปให้ใสหั่นเนื้อเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอคำไม

ไม้2 ใส่น้ำซุปลงในหม้อตั้งไฟกลางใส่ข่า หอมใหญ่ กระเทียม ลงไป พอน้ำเดือด ใส่เนื้อลงเคี่ยว ต่อพอนุ่ม

3 ปรุงรสด้วยน้ำปลาน้ำมะนาว พริก แล้วใส่ใบกะเพรา ผักชีฝรั่งลงไป ยกลงจากเตา ตักเสิร์ฟร้อน ๆทานกับข้าวกล้อง


ตำแตง

เครื่องปรุง

แตงร้าน กระเทียม พริกสดหรือพริกแห้งตามใจอยาก น้ำปลา น้ำปลาร้าถ้าอยากได้กลิ่นไอของอีสาน มะนาวหรือ มะขามเปียกอย่างใดอย่างหนึ่ง ท้ายสุดมะเขือเทศ

วิธีทำอย่างแรกต้องล้างแตงร้านให้สะอาดหมดจดไร้ราคีมาแปะเปื้อนไม่ต้องปลอกเปลือกให้เสียเวลาสับเลยสับถี่ๆแล้วหั่นตามขวางหรือจะหั่นแบบสับมะละกอก็ได้

จากนั้นโขลกพริก กระเทียม ให้ละเอียด ใส่แตงหั่นมะเขือเทศ ใส่น้ำปลา น้ำปลาร้า มะนาวหรือมะขามเปียก แล้วทำการโขลกเบาๆ พอให้ส่วนต่างๆคลุกเข้ากัน ลองชิมดูรสว่าผ่านหรือไม่ หากไม่ก็ปรุงให้ได้รสตามต้องการ

ข้อชี้แนะ ตำแตงจะโขลกใส่หอมก็ได้ หากนำแตงมาแช่น้ำเย็นจะทำให้แตงมีความกรอบขึ้น

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการรับประทานตำแตงคือ วิตามิน และ แคลเซี่ยม

ตำมะละกอ(ส้มตำ)

แกงหน่อไม้ ส้มตำ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง ของกินชนิดหนึ่ง เอาผลไม้มีมะละกอเป็นต้น มาตำผสมกับเครื่องปรุงมีรสเปรี้ยวบางท้องถิ่นเรียก ตำส้ม

ส้มตำ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย(อาจจะรวบถึงชาวต่างชาติอีกมากมายที่รู้จักประเทศไทยจากส้มตำ)ในทุกๆภาคในปัจุบันโดยเฉพาะคนอีสานพบได้ทุกสถานที่โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก ฯลฯจะพบอาหารนี้ได้ทุกซอก ทุกมุม ซึ่งหารับประทานได้ง่ายตามสถานที่ทั่วไปแม้แต่ตามซอกซอย ตามภัตตาคารหรือตามห้างต่างๆ เรียกว่าส้มตำเป็นอาหารจานโปรดของทุกคนเลยก็ได้ ทำเอาพ่อค้าแม่ขายอาชีพนี้รวยไปตามๆ กันส้มตำมีหลายประเภท ได้แก่ ส้มตำไทย, ส้มตำไทยใส่ปู, ส้มตำปูใส่ปลาร้า, ส้มตำลาวใส่มะกอก ส้มตำมักรับประทานกับข้าวเหนียว และแกล้มกับผักชนิดต่างๆและที่ขาดไม่ค่อยได้เลยคือไก่ย่าง ซึ่งจะพบว่าร้านส้มตำเกือบทุกร้านจะต้องขายไก่ย่างควบคู่กันไปด้วย

ส้มตำ เป็นภาษากลางที่ใช้เรียกกันทั่วไป ชาวอีสานเรียก ตำบักหุ่งหรือตำส้ม ส้มตำของชาวอีสานมีความหลากหลายมาก พืชผัก ผลไม้ ชนิดต่างๆก็สามารถนำมาตำรับประทานได้ทั้งสิ้น เช่น ตำ

มะละกอ ตำถั่วฝักยาว ตำกล้วยดิบตำหัวปลี ตำมะยม ตำลูกยอ ตำแตง ตำสับปะรด ตำมะขาม ตำมะม่วง เป็นต้นซึ่งจะมีรสชาติที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภท แต่โดยรวมๆแล้วจะเน้นที่ความมีรสจัดจ้านถึงใจและเน้นที่ความเปรี้ยวนำ

ล้มตำลาวของชาวอีสานบางครั้งจะใส่ผลมะกอกพื้นบ้าน(เฉพาะฤดูที่มีผลมะกอกพื้นบ้าน)เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ โดยฝานเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น ส้มตำลาวเป็นเมนูอาหารหลักของชาวอีสานรองจากข้าวเหนียว สามารถรับประทานกันได้ทุกวันและทุกมื้อ วัฒนธรรมการกินอาหารอย่างหนึ่งของชาวอีสานคือหากมื้อใดมีการทำส้มตำรับประทานก็มักจะเรียกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมาร่วมสังสรรค์รับประทานส้มตำด้วย บางคนถึงกับบอกว่า ทานคนเดียวไม่อร่อย ต้องทานหลายๆ คนหรือแย่งกันทาน เรียกว่าส้มตำรวยเพื่อนก็ไม่ผิดนัก และตามงานบุญต่างๆของชาวอีสานจะขาดส้มตำไม่ได้เลย ถ้าขาดส้มตำอาจจะทำให้งานนั้นกร่อยเลยทีเดียว

บางคนครั้งส้มตำลาวจะอร่อยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปลาร้าเป็นสำคัญถ้าหากปลาร้าอร่อยมีรสชาติดี ก็จะทำให้ส้มตำลาวครกนั้นมีรสชาติอร่อยไปด้วยปลาร้าที่ใส่ส้มตำสามารถใส่ได้ทั้งน้ำและตัวปลาร้า หรือบางคนก็ใส่แต่น้ำปลาร้าใส่เพื่อพอให้มีกลิ่นแล้วแต่คนชอบแต่ต้องทำให้สุกเสียก่อนชาวอีสานส่วนใหญ่ยังมีความคิดว่ากินปลาร้าดิบแซ่บกว่าปลาร้าสุก ดังนั้นชาวบ้านตามชนบทมักจะใช้ปลาร้าดิบเป็นส่วนประกอบในส้มตำด้วยความคิดเช่นนี้จึงทำให้กลายคนดินปลาร้าแล้วได้พยาธิ(ส่วนใหญ่จะเป็นพยาธิใบไม้ในตับ)ิแถมเข้ามาอยู่ในตัวด้วย ถึงแม้ว่าการใช้เกลือประมาณร้อยละ 30 ของน้ำหมักปลาในการหมักก็เป็นเพียงการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้เท่านั้นแต่ยังไม่มีคำยืนยันจากนักวิชาการว่าเกลือสามารถฆ่าพยาธิได้ ดังนั้นควรใช้ปลาร้าที่ต้มสุกแล้วจะปลอดภัยกว่า

นอกจากนี้จากผลการวิจัยขอคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลยังพบว่าในปลาร้าดิบมีสารที่ยับยั้งการทำงานของวิตามินบีหนึ่งซึ่งการที่จะทำให้สารชนิดนี้หมดไปได้มีวิธีเดียวเท่านั้น คือการทำให้สุกโดยใช้ความร้อน

เครื่องปรุง

มะละกอสับตามยาว =1 ถ้วย (100 กรัม)

มะเขือเทศสีดา= 3 ลูก (30 กรัม)

มะกอกสุก= 1 ลูก (5 กรัม)

พริกชี้หนูสด= 10 เม็ด (15 กรัม)

กระเทียม= 10 กลีบ (30 กรัม)

น้ำมะนาว= 1-2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)

น้ำปลา= ½ ช้อนโต๊ะ (8 กรัม)

น้ำปลาร้าต้มสุก= 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)

ผักสด ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ยอดปักบุ้ง ยอดและฝักกระถิน ยอดมะยม ไก่ย่าง แคบหมู

วิธีทำ

1. โขลกกระเทียม พริกขี้หนู พอแตก
2.
ใส่มะละกอมะเขือเทศผ่าซีก ฝานมะกอกเป็นชิ้นบางใส่ลงโขลกเข้าด้วยกัน
3.
ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำมะนาว โขลกเบาๆ พอเข้ากันชิมตามชอบรับประทานกับผักสด

สรรพคุณทางยา

1. มะละกอ ผลดิบ ต้มกินเป็นบาบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิดแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง
2.
มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว
3.
มะกอก รสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติ แก้บิดแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ
4.
พริกขี้หนูรสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
5.
กระเทียม รสเผ็ดร้อนขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนังน้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรียและไวรัส ลดน้ำตาลในเลือดลดไขมันในหลอดเลือด
6.
มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
7.
ผักแกล้มต่างๆได้แก่
-
ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะเพาะลำไส้บำรุงธาตุดิน
-
กะหล่ำปลี รสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้บำรุงธาตุไฟ
-
ผักบุ้ง รสจืดเย็น ต้มกินใช้เป็นยาระบาย ทำให้อาเจียนเนื่องจากพิษของฝิ่นและสารหนู
-
กระถิน รสมัน แก้ท้องร่วง สมานแผลห้ามเลือด ถ่ายพยาธิ
-
มะยม ใบต้มกิน เป็นยาแก้ไอ ช่วยดับพิษไข้บำรุงประสาท ขับเสมหะ บำรุงอาหาร แก้พิษอีสุกอีใส โรคหัดเลือด

รสและสรรพคุณ
1.
มะละกอดิบ (ผลยาว) มีรสหวานปลูกได้ทั่วไปในทุกภาค ออกผลตลอดปี ในทางยา
-
ต้นมะละกอ สรรพคุณแก้มุตกิต ขับระดูขาว
-
ดอกมะละกอ สรรพคุณ ขับประจำเดือนลดไข้
-
ราก รสขมเอียน สรรพคุณ ขับปัสสาวะ
-
เม็ดอ่อนสรรพคุณแก้กลากเกลื้อน
-
ยางมะละกอ สรรพคุณช่วยกัดแผลรักษาตาปลาและหูดฆ่าพยาธิหลายชนอด ในการทำอาหาร ยอดอ่อนนำมาดองและรับประทานเป็นผักได้ส่วนผลดิบปรุงเป็นอาหารหลายชนิด ผลมะละกอดิบหั่นเป็นชิ้นนึ่งหรือต้มให้สุกและรับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริกหรืออาจปรุงเป็นผัดมะละกอโดยนำผลห่ามหั่นฝอยเป็นชิ้นยาวๆ ผัดกับไข่และหมูได้นอกจากนี้เนื้อมะละกอยังนำมาปรุงเป็นแกงส้ม แกงอ่อมได้
2.
มะกอกเมื่อรับประทานทีแรกมีรสเปรี้ยวอมฝาด แต่เมื่อถึงคอแล้วหวานชุ่มคออุดมด้วยวิตามินซีใช้เป็นยาฝาดสมาน และแก้โรคลักปิดลักเปิด เปลือกมีกลิ่นหอมฝาดสมานและเป็นยาเย็นใช้แก้อาการท้องเสีย และโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ ระงับอาเจียนยอดอ่อน ใบอ่อนและผลสุกใช้รับประทานเป็นผักยอดอ่อนและใบอ่อนออกมากในฤดูฝนและออกเรื่อยๆ ตลอดปี ส่วนผลเริ่มออกในฤดูหนาวผลสุกรสเปรี้ยว เย็น ฝาด ทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ แก้เลือดออกตามไรฟัน
ในด้านการนำมาทำอาหาร คนไทยทุกภาครู้จักและรับประทานยอดมะกอกเป็นผักสดในภาคกลางรับประทานยอดอ่อน ใบอ่อน ร่วมกับน้ำพริกปลาร้า เต้าเจี้ยวหลนชาวอีสารรับประทานร่วมกับลาบก้อย แจ่วป่นและฝานผลเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอหรือพล่ากุ้งช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น

รสชาติอาหาร

ส้มตำ 1ครก จะมีหลายรสชาติ เช่น เปรี้ยว มัน เค็ม หวาน (น้ำตาลแล้วแต่คนชอบ) ขม เปลือกมะนาวหรือผลมะกอก) อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายสูง โดยเฉพาะเมื่อนำมาแกล้มกินกับผักคนอีสานนิยมรับประทานกับเส้นขนมจีน ว่ากันว่ารับประทานเข้ากันดีนักสำหรับคนภาคกลางมักจะรับประทานร่วมกับอาหารอื่นๆ เช่น ส้มตำ-ไก่ย่าง, ลาบ, น้ำตก, ข้าวเหนียว เรียกว่าเป็นเมนูชุดใหญ่ โดยมีส้มตำเป็นอาหารหลักเลยทีเดียวซึ่งก็จะช่วยให้เราได้สารอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพิ่มไปด้วยนอกเหนือจากการกินแต่ผักอย่างเดียว

คุณค่าทางโภชนาการ

ส้มตำลาวใส่มะละกอ 1 ชุดให้พลังงานต่อร่างกาย 205 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
-
น้ำ=417.77 กรัม
-
โปรตีน= 17 กรัม
-
ไขมัน= 2.856 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต= 29 กรัม
-
กาก= 5.75 กรัม
-
ใยอาหาร= 2.67 กรัม
-
แคลเซียม= 163.4 มิลลิกรัม
-
ฟอสฟอรัส= 190.36 มิลลิกรัม
-
เหล็ก= 24.27 มิลลิกรัม
-
เบต้าแคโรทีน=473.9 ไมโครกรัม
-
วิตามินเอ= 12243 IU
-
วิตามินบีหนึ่ง=0.552 มิลลิกรัม
-
วิตามินบีสอง= 0.5 มิลลิกรัม
-
ไนอาซิน=5.545 มิลลิกรัม
-
วิตามินซี= 162 มิลลิกรัม





น้ำพริกปลาร้า

แซ่บอย่างมีคุณค่าหากจะถามถึงผู้คิดค้นสูตรการทำปลาร้าซึ่งเป็นตำรับอาหารอันลือชื่อของชาวอีสานคงไม่สามารถหาคำตอบได้คาดเดาได้เพียงว่าด้วยเหตุที่ปลาทางภาคอีสานมักมีมากในฤดูฝนเท่านั้นการทำปลาร้าหรือปลาหมักจึงเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านจะสามารถถนอมอาหาร (ปลา)เก็บไว้กินได้นานๆ แม้นอกฤดูฝนแล้ว ก็ตาม

ปลาร้าหนึ่งในอาหารหมักหลายๆชนิดที่มักมองว่าเป็นอาหารที่มีกระบวนการทำที่ไม่ค่อยสะอาดมีกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัยหลายคนในเมืองจึงปฏิเสธที่จะกินอาหารชนิดนี้อย่างสิ้นเชิงโดยไม่รู้ว่า ปลาร้า ก็มีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเหมือนกัน

ปลาร้า อาจเรียกได้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของชาวอีสานเลยก็ได้ เพราะไม่ว่ามื้อไหนๆเรามักจะได้เห็น ปลาร้า วางอยู่ในสำรับอาหารเสมอ

ปลาร้าที่นำมาประกอบเป็นอาหารนั้น มักจะมีทั้งเนื้อและน้ำซึ่งการกินส่วนมากก็จะกินแยกกัน อย่างชาวอุบลราชธานีนิยมกินน้ำปลาร้าโดยจะใช้แทนน้ำปลาเลย เพราะมีรสเค็มเนื่องจากในกระบวนการหมักจะใช้เกลือถึงร้อยละ 30 ของเนื้อปลา

น้ำพริกปลาร้า หนึ่งในตำรับอาหารของชาวอีสานที่พบอยู่ในสำรับอาหารแทบทุกครัวเรือนผักนานาชนิดถูกนำมาต้มและรับประทานสดๆ จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า แซ่บอย่าบอกใคร


เครื่องปรุง

ปลาดุกอุยหนัก= 200 กรัม 1 ตัว

น้ำปลาร้า1 ถ้วย= (100 กรัม)

พริกขี้หนูสด=10 เม็ด (15 กรัม)

หอมแดง= 5 หัว (25 กรัม)

กระเทียม= 1 หัว (30 กรัม)

น้ำมะนาว= 3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)

ผักชี= 1 ต้น (10 กรัม)

ผักสดแตงกวา มะเขือ ถั่วฝักยาว ยอดกระถินชนิดละ100 กรัม


วิธืการทำ

1. ต้มน้ำปลาร้าให้เดือด
2.
ขูดเมือกปลาดุกออก ควักไส้และเหงือกทิ้งล้างให้สะอาด ใส่ในหมอต้มกับปลาร้าต้มจนปลาดุกสุก ยกลง
3.
เผา หอม กระเทียม พริก แล้วปอกเปลือกหอม กระเทียมโขลกรวมกันกับพริก
4.
แกะเนื้อปลาดุกอุยใส่ลงโขลกด้วย เติมน้ำปลาร้า 3 ช้อนโต๊ะปรุงรสด้วยน้ำมะนาวรับประทานกับผักสด

สรรพคุณ

1. ปลาร้า ก้างสุมไฟรสร้อนเค็ม แก้แผลอักเสบ
2.
พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
3.
หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะบำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
4.
กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อราแบคทีเรีย และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
5.
มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอแก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
6.
ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานขอวกระเพาะลำไส้บำรุงธาตุดิน
7.
แตงกวา รสจืดเย็น เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ บำรุงผิวพรรณ
8.
กระถิน ใบและยอดอ่อน รสมัน เมล็ดอ่อน รสมันหวานเล็กน้อย ใช้รับประทานแก้ท้องร่วงสมานแผล ห้ามเลือดฝักของกระถินเป็นยาฝาดสมานเมล็ดเป็นยาถ่ายพยาธิได้
สรรพคุณตามตำรายาโบราณ
ปลาร้าคือปลาที่ทำดองเค็มใส่ข้าวคั่วอัดใส่ไหไว้เป็นอาหารของชาวนาและคนพื้นเมืองในภาคอีสานและภาคเหนือรู้จักกันดี เพราะทำจากปลาน้ำจืด เมื่อเอาปลาร้ามาต้มรับประทานเนื้อจะละลายออกหมดเหลือแต่ก้างเอาก้างนั้นไปคั่วจนกรอบแล้วบดเป็นผงจะมีรสเค็มกร่อยหอม ผสมกับน้ำมันยางรับประทานแก้โรคหนองในขับถ่ายหนองได้ดีและปลาร้านี้ยังเป็นยารักษาควายที่เป็นโรคกับลางได้อีกเอาปลาร้าสับให้ละเอียด ปิดที่กับควายแล้วเอาเหล็กเผาไฟให้แดงนาบลงที่ปลาร้าจนสุกทำให้เชื้อโรคที่ออกมากินตายหมด ยังมีชื่อเรียกอีกว่า ปลาแดก

น้ำพริกปลาร้า 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 573 กิโลแคลอรีประกอบด้วย
-
น้ำ= 667.25 กรัม
-
โปรตีน= 73 กรัม
-
ไขมัน= 14.16 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต=39 กรัม
-
กาก= 9.73 กรัม
-
แคลเซียม= 326.6 มิลลิกรัม
-
ฟอสฟอรัส= 341.5 มิลลิกรัม
-
เหล็ก= 36.095 มิลลิกรัม
-
เรตินอล= 1.32 ไมโครกรัม
-
เบต้า-แคโรทีน= 478 ไมโครกรัม
-
วิตามินเอ= 9210.8 IU
-
วิตามินปีหนึ่ง= 83.71 มิลลิกรัม
-
วิตามินบีสอง= 1 มิลลิกรัม